มัฟฟิน MUFFIN ขนมหวานต่างประเทศที่มาในรูปแบบถ้วยขนาดเล็ก แต่รสชาตินั้นอร่อยล้ำไม่มีที่ติ โดยเมนูนี้สามารถรังสรรค์ได้หลายรสชาติด้วยกัน เช่น บลูเบอร์รี่ สตอรว์เบอรี่ กล้วยหอม นมสด ช็อคโกแลต ลูกเกด ฯลฯ ไม่ว่าจะเสริมเติมแต่งรสชาติใดๆเข้าไป ก็อร่อยเข้ากันกับเนื้อแป้งนุ่มฟูเป็นอย่างดี ทำให้มีความหลากหลาย และน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เป็นอีกหนึ่ง สูตรเบเกอรี่ ที่หลายคนอยากรู้วิธีการทำเป็นอย่างมาก เพราะมักจะเจอตามร้านกาแฟอยู่บ่อยๆ จนอยากลองทำกันดูสักครั้ง แต่ก่อนจะไปดูสูตร และขั้นตอนวิธีการทำเบเกอรี่เมนูนี้ เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกโลกของมัฟฟิน พร้อมทำความรู้จักเมนูนี้กันแบบจัดเต็มในบทความเดียว
ทำความรู้จัก มัฟฟิน เบเกอรี่ที่มีหลากหลายเรื่องราว
มัฟฟินคือ ขนมปังหมักยีสต์ ขนมปังอบ ที่หากใครพบเจอเมนูนี้เป็นครั้งแรก หรือไม่เคยรู้จักมาก่อน มักจะคิดว่าคือคัพเค้ก เพราะมีรูปร่างหน้าตา และใส่ภาชนะที่คล้ายกัน แต่จริงๆแล้ว มัฟฟินกับคัพเค้ก มีความแตกต่างกันอยู่มาก คัพเค้กจะนิยมแต่งหน้าด้วยครีม และของตกแต่งอื่นๆ ส่วนมัฟฟินนั้นจะแต่งหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื้อสัมผัสเองก็แตกต่างกันตามไปด้วย กล่าวคือ มัฟฟิน มีเนื้อสัมผัสที่หยาบพรุน กรอบ และเนื้อแน่นหนัก ส่วนเนื้อสัมผัสของคัพเค้กจะมีความแน่นละเอียด แต่เบากว่ามัฟฟินอยู่มาก นอกนี้ยังมีวิธีการรับประทานที่แตกต่างกัน เนื่องจากมัฟฟินมีรสชาติครบรสหวานคาว นิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเช้า หรือของว่างทานเล่น ส่วนคัพเค้กที่มีรสชาติหวาน จะนำมาทานเป็น ขนมหวาน เสียมากกว่า
ประวัติความเป็นมาของมัฟฟิน
มัฟฟินประวัติความเป็นมา ที่ยาวนานในแคว้นเวลส์ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 และ 11 เลยทีเดียว โดยนำเอาเศษขนมปัง แป้งบิสกิตส่วนที่เหลือ และมันฝรั่งบด มาผสมกันแล้วนวดกับแป้ง ก่อนจะนำไปปรุงให้สุกในกระทะก้นแบน แต่เดิมนั้น ขนมมัฟฟิน ถูกจัดให้เป็นอาหารของทาสใต้ถุนบ้านในประเทศอังกฤษเพียงเท่านั้น จนกระทั่งเวลาต่อมาความหอมของมัฟฟินก็ได้ส่งกลิ่นไปถึงเจ้านาย ทำให้พวกของอกใจไม่ไหว และได้ลองรับประทานแล้วพบว่ามันอร่อยมาก ทำให้เมนูนี้กลายเป็น อาหารว่าง ทานคู่กับน้ำชาในทุกบ่าย
ขนมหวานที่ได้รับความนิยม จนถูกนำมาแต่งเป็นเพลงกล่อมเด็ก
ในช่วงศตวรรษที่ 19 มัฟฟินได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศอังกฤษ เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของมัฟฟินเลยก็ว่าได้ และได้มีบุคคลที่ถูกเรียกว่า มัฟฟินแมน (ส่วนใหญ่เป็นชาวไอริช ที่อพยพเข้าเมืองมา) สั่นกระดิ่งเร่ ขายมัฟฟิน ในช่วงเวลาน้ำชา เป็นจำนวนมากจนสร้างความรำคาญ ถึงขั้นรัฐบาลต้องออกกฎควบคุมเสียงเลยเหล่านี้ ความนิยมนี้ทำให้มัฟฟินแฟนไปปรากฏอยู่ในเพลงกล่อมเด็กของชาวอังกฤษ โดยมีเนื้อร้องว่า “DO YOU KNOW THE MUFFIN MAN THAT LIVES ON DRURY LANE” และได้มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเพลงที่ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้แต่งว่า มัฟฟินนี้เป็นขนมที่รับนิยมรับประทานเป็น ของว่างทานเล่น หรือหลังออกจากโรงละครในลอนดอน
ความอร่อยถูกส่งต่อไปเป็นที่รู้จักในประเทศอเมริกา
มัฟฟิน ถูกนำเข้าไปเผยแพร่ในประเทศอเมริกาในช่วง ทศวรรษ 1960 โดยถูกพัฒนาสูตรให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในนิยามที่แนะนำกันว่าเป็น โดนัทในรูปแบบที่แตกต่าง จากนั้นก็ได้มีร้านขนม และร้านกาแฟทำเมนูนี้ออกมาขายเป็นจำนวนมาก พร้อมดัดแปลงสูตรที่แต่เดิมจะจำกัดส่วนผสมเป็น มัฟฟินธัญพืช ถั่ว และผลไม้แห้งเพียงเท่านั้น พวกเขาได้นำเมนูนี้มาผสมผสานสอดไส้รสชาติต่างๆเพิ่มเข้ามาด้วย พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของ ขนมหวานมัฟฟิน ให้มีความหลากหลายรูปทรง แต่ทรงกลมก็ยังคงเป็นที่นิยมสูงสุด และในแต่ละรัฐของประเทศอเมริกาก็ได้มี สูตรมัฟฟิน ซึ่งจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของตัวเองอีกด้วย คือ
- รัฐมินนิโซตา บลูเบอร์รีมัฟฟิน ถูกยกให้เป็นขนมประจำรัฐเมื่อปี ค .ศ. 1987
- รัฐแมสซาซูเซตส์ มัฟฟินข้าวโพด ถูกยกให้เป็นขนมประจำรัฐเมื่อปี ค.ศ. 1987
- รัฐนิวยอร์ก มัฟฟินแอปเปิล
มัฟฟินที่ได้รับความนิยม มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท
หลายคนอาจไม่รู้ว่า จริงๆแล้ว มัฟฟินที่เรารับประทานกันอยู่ในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ มัฟฟินอังกฤษ หรือ ENGLISH MUFFIN ที่มีรูปร่างแบนด้าน เนื้อสัมผัสด้านในมีความกลวง ถูกค้นพบในช่วงศตวรรษที่ 10 โดยใช้แป้งมัฟฟินใส่ลงไปในพิมพ์รูปวงแหวน ปรุงให้สุกด้วยเตา หรือกระทะ ส่วนอีกหนึ่งประเภทก็คือ มัฟฟินอเมริกัน จะมีลักษณะคล้ายกันกับคัพเค้ก รสชาติหวานน้อยกว่า ถูกค้นพบในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งทั้งสองประเภทล้วนมีความอร่อยที่แตกต่างกันออกไปตามสูตรของแต่ละพื้นที่นั้นเอง
วัตถุดิบ และขั้นตอนวิธีการทำ บลูเบอร์รี่ มัฟฟิน
สำหรับ สูตร ขนมมัฟฟิน นั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน มีทั้งสูตรที่ไม่ใช้ยีสต์ และใช้ยีสต์เป็นส่วนผสม แต่ในบทความนี้เราจะขอพาทุกคนไปพบกับสูตร มัฟฟินไม่ใช้ยีสต์ เป็นการลดขั้นตอนในการทำ เบเกอรี่ทำง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ที่พึ่งเริ่มหัดทำขนมเมนูง่ายๆ อ่านจบแล้วทำตามได้ทันที ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ที่มากมาย และไม่ต้องใช้กระทะก้นแบนทำเหมือนอย่างในอดีต แถมวัตถุดิบทำ มัฟฟิน ยังหาง่าย ราคาไม่แพง สามารถนำสูตรนี้ไปทำทานเองได้ หรือทำขายออนไลน์ก็สร้างรายได้ได้เช่นกัน ดังนั้น หากพร้อมแล้ว https://avenueb-pgh.com/ จะพาทุกคนไปดูสูตรขั้นตอนการทำง่ายๆ กันเลย
วัตถุดิบ
- ไข่ไก่ เบอร์1 2 ฟอง
- น้ำตาลทราย 140 กรัม
- เกลือ 1/4 ช้อนชา
- นมสดรสจืด 95 กรัม
- แป้งเค้ก 190 กรัม
- ผงฟู 1 ช้อนชา
- สารแต่งกลิ่นวนิลลา 1 ช้อนชา
- น้ำมันพืช หรือน้ำมันรำข้าว 110 กรัม
- บลูเบอร์รี่สด 150 กรัม
ขั้นตอนวิธีการทำ
- ขั้นตอนแรกในการทำ ขนมมัฟฟิน เริ่มจากการเตรียมชามผสมแล้วใส่ไข่ไก่ น้ำตาลทราย เกลือป่น และสารแต่งกลิ่นวานิลลาลงไป ใช้ตะกร้อมือตีให้ส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นใส่นมสดรสจืดลงไปตีให้เข้ากัน และร่อนแป้งเค้กกับผงฟูลงไปตีรวมกัน จนไม่เหลือเม็ดแป้งแล้วใส่น้ำมันรำข้าวลงไปตีต่อ
- เมื่อส่วนผสมเข้ากันแล้วก็มาถึงขั้นตอนการใส่บลูเบอร์รี่สดลงไปตีเล็กน้อยให้พอเข้ากัน ก่อนจะเตรียมถาดรองอบ รองด้วยกระดาษรองอบ หรือกระดาษไข และจัดวางถ้วยคัพเค้กให้ห่างกันเล็กน้อยแล้วตัก แป้งมัฟฟิน ลงไปขนาด ¾ ของตัวถ้วยคัพเค้ก หลังจากนั้นโรยบลูเบอร์รี่ตกแต่งหน้าตาขนมให้สวยงาม
- นำขนมเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 170 องศา ไฟบนล่าง เป็นเวลาประมาณ 20 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุกดี พักไว้ให้เย็นสนิทแล้วจึงนำออกจากถ้วย จัดเสิร์ฟได้ทันที
แนะนำ วิธีเก็บขนม มัฟฟิน ที่อบเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หากใครทำมัฟฟินเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่อยากรับประทานในทันที หรือทานไม่หมดในครั้งเดียว ขอบอกเลยว่าสามารถเก็บไว้รับประทานได้หลายวัน เพียงคุณใช้ วิธีเก็บมัฟฟิน โดยการเตรียมกล่องสูญญากาศสำหรับใส่มัฟฟิน รองที่ก้นกล่องด้วยกระดาษทิชชูแบบหนา ก่อนจะจัดเรียงมัฟฟินลงไป วางทับซ้ำปิดหน้าด้วยกระดาษทิชชูแบบหนาอีกครั้งแล้วปิดฝาให้สนิท ทำตามขั้นตอนนี้คุณก็จะสามารถเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องแช่เย็น แต่หากนำไปแช่เย็นจะช่วยทำให้มัฟฟินไม่เสียรสชาติอร่อยๆไปนะคะ โดยวิธีนี้สามารถเก็บไว้ได้นานถึง 2 เดือนเลยทีเดียว เมื่อจะรับประทานให้นำไปอบให้พออุ่นได้เลยค่ะ
บทสรุป
มัฟฟิน เป็นอีกหนึ่ง เบเกอรี่ทำง่าย รสชาติอร่อย ใช้เวลาในการทำไม่นาน เราจึงอยากแนะนำให้คุณได้ลองทำตามกันดูสักครั้ง เพราะการ ทำมัฟฟิน หนึ่งครั้งสามารถนำไปแช่เย็นเพื่อเก็บไว้รับประทานได้นานมาก อีกทั้งยังเป็นขนมที่เหมาะกับคนรักสุขภาพ หากเลือกใช้ธัญพืชเป็นส่วนผสมหลัก และหากใครอยากใส่ส่วนผสมอื่นๆแทนบลูเบอร์รี่ก็สามารถใช้สูตรนี้ทำได้เช่นกัน